เรื่องที่อยากจะพูดในวันนี้มีหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็คือที่โลกเรากำลังระอุอยู่ เนื่องจากว่ากลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นตัวแทนของปาเลสไตน์ รบกับอิสราเอล สงครามตรงนี้ถ้าเป็นภาษิตจีนเขาบอกว่า “เป็นคู่แค้นที่ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน”

ดินแดนตรงนี้ ความจริงเป็นของชาวปาเลสไตน์ยึดครองอยู่ หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันล่มสลายไปแล้ว แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สหประชาชาติซึ่งได้รับการแต่งตั้งมาไม่นาน เป็นองค์กรระหว่างประเทศในระดับโลกเลย สั่งให้แบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้กับชาวยิว ก็คืออิสราเอล เหมือนกับเราอยู่บ้านดี ๆ แล้วมีคนอื่นมาบอกว่า แบ่งให้คนอื่นไปครึ่งหนึ่ง ก็ต้องมีคนที่ไม่ยอม จึงมีการกระทบกระทั่งกันมาตลอด

โดยเฉพาะอย่าลืมว่าปาเลสไตน์ก็คืออิสลาม ซึ่งคนอิสลามเขาถือว่าอิสลามทั่วโลกคือพี่น้องกัน ก็เลยเกิดการปะทะกันรุนแรงในปี ๒๕๑๐ ก็คือ “สงคราม ๖ วัน” ที่อิสราเอลเป็นฝ่ายชนะ สร้างวีรบุรุษสงครามขึ้นมา ก็คือนายพลโมเช่ ดายัน ที่กระผม/อาตมภาพจำได้แม่นก็เพราะว่าครูออกเป็นข้อสอบความรู้รอบตัว ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเรียนชั้นประถมปีที่ ๒ เป็นคนเดียวที่ตอบคำถามครูได้ครบทุกข้อและถูกทุกข้อ เนื่องเพราะว่าเป็นเด็กคนเดียวที่มักจะอยู่ในห้องสมุด ในขณะที่คนอื่นเขาไปเล่นกัน

หลังจากนั้น พออิสราเอลชนะก็เกิดพื้นที่กันชน คือฉนวนกาซาขึ้นมา ต้องบอกว่านี่เป็นคุกอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นคุกแบบที่ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ไม่มีกำแพง แต่ห้ามผ่าน..! แต่ว่าครั้งนี้ที่สงครามปะทุขึ้นมา ก็เพราะว่าทางอิสราเอลข้ามไปใช้มัสยิด มัสยิด อัล – อักซอ ซึ่งถือว่าเป็นของปาเลสไตน์ ระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าอิสราเอลขยับทำอะไรก็ตาม โลกภายนอกจะออกข่าวเข้าข้างตลอด ถ้าเรามองด้วยความเป็นธรรม จะเห็นว่าฝ่ายปาเลสไตน์โดนกระทำอยู่อย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นความแค้นรอวันปะทุ แล้วก็มาปะทุขึ้นในระยะนี้

ในส่วนที่อยากจะบอกก็คือว่า กลุ่มนักรบฮามาสนั้น ได้รับการฝึกฝนและอบรมไปจากสหรัฐอเมริกา..! พอ ๆ กับที่ไปฝึกฝนอบรมให้กับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน ก็เลยกลายเป็นกรรมสนอง เพราะว่าสหรัฐถือหางอิสราเอลมาตลอด แต่คราวนี้ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะคนไทย ทั้งเจ็บ ทั้งตาย ทั้งโดนจับเป็นตัวประกันจำนวนมาก..!

คราวนี้ท่านทั้งหลายในฐานะของพระภิกษุสามเณร เราไม่สามารถที่จะแสดงความเห็นอะไรออกไปได้ ต้องเห็นว่าเป็นธรรมดาโลก มีอยู่เดียวก็คือนั่งกรรมฐาน แผ่เมตตา ขออย่าให้เหตุการณ์รุนแรงไปกว่านี้..!

เนื่องเพราะว่า แม้ว่าเราจะชอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วแสดงความเห็นออกไป เราก็จะเสียความยุติธรรมไปทันที ต่อให้ยืนอยู่ข้างที่ถูกก็เถอะ เท่ากับว่าเราเลือกข้างแล้ว ขาดความเป็น “อัปปมัญญา” ก็คือต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง อย่าได้ไปปากไวไปประณามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะทันทีที่คุณเลือกข้าง อีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นศัตรูของคุณทันที..!

แล้วก็ไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาทูตว่า “ผมเป็นพระวัดโน้นวัดนี้ เพื่อความเมตตาตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โปรดได้ยื่นมือช่วยคนไทยด้วย” ไอ้นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกับทูตไทยในอิสราเอล ไม่ใช่หน้าที่ของเรา..!

เรื่องพวกนี้ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเกิดตามวัฎจักร เนื่องเพราะว่าโลกเราก็ดี โลกอื่นก็ดี เขาจะประกอบไปด้วยวัฏจักรที่ทางธรรมของเรากับทางโลก บางทีก็มีความเห็นไม่ตรงกัน เพราะว่าทางธรรมของเราบอกว่า โลกเราประกอบไปด้วยสังวัฏฏอสงไขยกัป กัปในข้างเสื่อม และวิวัฏฏอสงไขยกัป กัปในข้างเจริญ ซึ่งก็คือหลักธรรมในพุทธศาสนาตรงที่ว่า อนิจจัง ไม่เที่ยง เมื่อเจริญแล้วก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา

คราวนี้โลกเราอยู่ในฝ่ายข้างเสื่อม ถ้าหากว่าเป็นสังวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป จะเป็นกัปที่เสื่อมเต็มที่แล้ว อย่างเช่นว่าโดนทำลายด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือโดนทำลายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยโรคภัย หรือว่าอาวุธ อย่างเช่นว่า ถ้าโดนทำลายด้วยอาวุธ เขาเรียกว่าสัตถันตรกัป ถ้าโดนทำลายด้วยโรคภัย เรียกว่าโรคันตรกัป เป็นต้น แล้วถ้าอยู่ในข้างเจริญเต็มที่ก็คือวิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ก็จะอยู่ในลักษณะของเส้นกราฟวิวัฒนาการที่เป็นคลื่นไป คราวนี้ก็ต้องมีย้อนกลับ ขึ้นไปสูงสุดแล้วก็ต้องลงมาต่ำสุด

เราอยู่ในช่วงเสื่อม จะเห็นว่ามนุษย์ของเราตัวเล็กลง แค่สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ๒,๖๐๐ ปีก่อน ความสูงสมัยนั้นก็ราว ๆ ๘ เมตรของสมัยนี้ ๒,๐๐๐ กว่าปีผ่านไป ความสูงคนลงเหลือประมาณแค่ ๒ เมตร ถามว่าคำนวณจากไหน ? อันดับแรกเลยก็คือที่ปรากฏไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎก

วิธีที่สองก็คือคำนวณตามหลักวิชาการ การคำนวณตามหลักวิชาการ กระผม/อาตมภาพเรียนมาในสมัยเรียนวิชาทหาร ก็คือวิชาสะกดรอย ความยาวของเท้าคูณด้วย ๘ จะเป็นความสูง เราจะเห็นว่ารอยพุทธบาทส่วนใหญ่ก็อยู่ประมาณเมตรหนึ่ง หรือว่าเมตรเศษ ๆ ตีว่าเมตรถ้วนก็แล้วกัน คูณด้วย ๘ ก็คือสูง ๘ เมตร ไม่ก็ลองวัดรอยเท้าตัวเองแล้วคูณด้วย ๘ ก็ได้ จะได้ความสูงใกล้เคียงความจริงมากเลย

แล้วเขาก็ยังมีวิชาการอีกว่า เราจะต้องนับรอยเท้าที่เห็นอยู่บนถนนหนทางที่เราสะกดรอย เป็นระยะกว้างยาวเท่าไร จำนวนรอยต้องหารด้วยเท่าไร จะประมาณออกมาเป็นจำนวนคนที่เดินผ่านไปได้ใกล้เคียงมาก เรื่องพวกนี้อย่าไปเสียเวลารู้เลย รู้แต่ว่าถ้ามีเกิด ก็มีเสื่อม

คราวนี้ของเรา ถ้าหากว่าในช่วงที่เจริญสูงสุด ก็คือวิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัป ก็อย่างเช่นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรยความสูง ๘๘ ศอก คราวนี้ ๘๘ ศอกนี่กล่าวไว้ในว่าขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ก็ต้องนับเป็นศอกของพระพุทธเจ้า อย่างเช่นว่าถ้านับเป็นคืบ ก็ใช้คำว่า คืบพระสุคต ในเมื่อเป็นศอก ก็ต้องเป็นศอกพระสุคต ศอกหนึ่งก็ประมาณ ๑ เมตร

เพราะฉะนั้น..ประเทศจีนเขาก็เลยสร้างรูปสมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย เอาไว้ที่ Buddhist Palace หรือที่เขาเรียกว่า หลิงซานต้าฝอ พระใหญ่ที่เขาหลิงซาน ความสูง ๘๘ เมตร มีโอกาสก็ไปดูกันบ้าง พระเข้าฟรี..เสียเงิน ๕๐ หยวนตอนดูนิทรรศการของเขา ก็คือที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์จนกระทั่งตรัสรู้ โดยเฉพาะในส่วนของฉัพพรรณรังสี เขาทำได้ดีมาก

แล้วที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือต้นโพธิ์ทั้งต้นโผล่ขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ถ้าวัดท่าขนุนใหญ่พอ กระผม/อาตมภาพอยากทำพิพิธภัณฑ์ให้ได้แบบนั้น แต่ทำแค่ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร ดูท่าว่าไม่เสร็จตามสัญญาอย่างแน่นอน..!

ดังนั้น..เรื่องนี้เราไม่สามารถที่จะเข้าข้างใครได้ นอกจากพิจารณาให้เห็นว่าปกติธรรมดาของโลกเป็นเช่นนั้น ในเมื่อสรรพสัตว์เบียดเบียนกัน จิตใจประกอบไปด้วย ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีแต่ความเร่าร้อน เราก็ต้องแก้ไขด้วยพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะเมตตา กรุณา สวดมนต์ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน แล้วก็แผ่เมตตา ท่านที่ได้ทุกข์ ขอให้พ้นจากความทุกข์ ท่านที่ได้สุข ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : เว็บไซต์วัดท่าขนุน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *