แบ่งปัน:
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

เกร็ดธรรมะจากงานบวงสรวงไหว้ครู และเป่ายันต์เกราะเพชร (รอบเช้า) วันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘ วัดท่าขนุน

3 กระทู้
1 ผู้ใช้
0 Reactions
115 เข้าชม
พระนิพพาน .com
กระทู้: 4
Registered
หัวข้อเริ่มต้น
(@thenirvanalive)
สมาชิก1
เข้าร่วม: 3 ปี ที่ผ่านมา

การไหว้ครูนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าถ้านับแล้ว พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา แต่ว่าครูบาอาจารย์ให้ศิลปวิทยาการ คือความรู้ความสามารถที่เราใช้เลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว ความรู้บางสาขาก็เอาไว้ช่วยรักษาตนเอง รักษาครอบครัว และปกป้องประเทศชาติ

การไหว้ครูนั้น ครูก็ไม่ได้เรียกร้อง แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณ แล้วกระทำสิ่งที่ดีงามตอบแทนต่อท่าน สมัยก่อนการไหว้ครูก็มักจะมีดอกไม้ ธูป เทียน แล้วก็ผ้าใหม่สักผืนหนึ่ง ซึ่งในสมัยก่อน ๆ นั้น ผ้าก็เป็นของหายาก ถือว่าเป็นของที่มีคุณค่ามาก บางสถานที่อยู่ในที่กันดาร บางทีก็หนาวเหน็บหิมะตกทั้งปี หรือว่าพื้นเป็นน้ำแข็งทั้งปี หาดอกไม้ไม่ได้ เขาก็เปลี่ยนเป็นใช้ผ้าในการมอบให้แสดงความเคารพแทน อย่างทางด้านประเทศทิเบต เป็นต้น

การที่เราไหว้ครูเป็นการแสดงออกซึ่งความรู้คุณที่ท่านสั่งสอนความรู้ในด้านต่าง ๆ แก่เรา แล้วกระทำการตอบแทนท่าน จะว่าไปแล้วก็ตรงกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คือ การบูชาต่อบุคคลที่ควรบูชา จัดว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง

เพียงแต่ว่ามาในระยะหลัง กำลังใจของเราเคลื่อนคลายจากการเคารพนับถือครูบาอาจารย์ไปบ้าง หน้าที่การงานต่าง ๆ รัดตัวจนไม่มีเวลาทำบ้าง ตามสายครูบาอาจารย์ท่านจึงให้จัดเป็นงานไหว้ครูประจำปี ก็คือรวมกันปีละครั้งเดียว พูดง่าย ๆ ว่าทำปีละครั้งดีกว่าไม่ทำเสียเลย..!

ที่มาจากเว็บไซร์วัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9363

 


2 ตอบกลับทั้งหมด
พระนิพพาน .com
กระทู้: 4
Registered
หัวข้อเริ่มต้น
(@thenirvanalive)
สมาชิก1
เข้าร่วม: 3 ปี ที่ผ่านมา

ตามสายครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าสืบไล่ขึ้นไปก็ตั้งแต่ยุคหลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์ จังหวัดลพบุรี

มาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร

มาหลวงปู่เนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี

มาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

จนกระทั่งมาถึงยุคหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

เราทำการไหว้ครูกันในวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ที่โบราณเรียกกันว่า "วันเสาร์ ๕" แต่วันเสาร์ ๕ ตามตำรานั้น มีทั้งข้างขึ้นข้างแรม ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดไว้ว่าให้เป็นเสาร์ ๕ ข้างขึ้น ก็คือใช้เคล็ดคำว่า "ขึ้น" ทำอะไรทำขึ้น ก็คือ ทำแล้วเจริญรุ่งเรือง

ถ้าปีนั้นไม่มีเสาร์ ๕ ให้จัดไหว้ครูในวันวิสาขบูชา

ถ้าไม่มีเสาร์ ๕ หรือว่าวันเสาร์ ๕ ติดภารกิจสำคัญ วันวิสาขบูชาติดภารกิจสำคัญ ท่านให้จัดงานไหว้ครูในวันมาฆบูชา

ก็คือไล่ความสำคัญลงไปตามลำดับ เอาเสาร์ ๕ เป็นอันดับแรก ถ้าไม่ได้แล้วค่อยใช้วันวิสาขบูชา แล้วถ้าไม่ได้จริง ๆ ค่อยใช้วันมาฆบูชา

การไหว้ครูของเราก็ไหว้ตั้งแต่ครูใหญ่ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา ลงมาถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ทั้งหมด ก็คือไหว้รวมกันไปในครั้งเดียว..!

ที่มาจากเว็บไซร์วัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9363


ตอบ
พระนิพพาน .com
กระทู้: 4
Registered
หัวข้อเริ่มต้น
(@thenirvanalive)
สมาชิก1
เข้าร่วม: 3 ปี ที่ผ่านมา

คราวนี้สิ่งที่เราท่านทั้งหลายทำนั้น มาในระยะหลังครูบาอาจารย์ท่านเปิดเผยว่า งานไหว้ครูประจำปี หรืองานเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการรวมกำลังใจของคนหมู่มากที่มุ่งไปในด้านเดียวกัน เราสามารถขอบารมีพระ พรหม หรือเทวดา ที่ท่านช่วยรักษาประเทศชาติอยู่ รวมเอากำลังใจส่วนนี้ ไปป้องกันหรือต้านทานสิ่งไม่ดีไม่งามที่จะเกิดขึ้นได้

อย่างเช่นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าเป็นไปตามสภาพของวาระกรรม ประเทศชาติของเราจะสูญเสียบุคคลสำคัญในประเทศไป สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ ก็จะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา สิ่งหนึ่งประการใดที่พอแก้ไขได้ อาศัยกำลังคนหมู่มาก ก็เหมือนกับช่วยกันยกของหนัก คนละไม้คนละมือ ของที่ไม่น่าจะยกไหวก็จะยกไหว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แม้แต่กระผม/อาตมภาพก็นึกไม่ถึง

ในเมื่อท่านบอกแล้วก็ขอแจ้งแก่ญาติโยมทั้งหลายด้วยว่า ในช่วงไหว้ครูก็ดี ในช่วงรับยันต์เกราะเพชรก็ตาม พยายามวางกำลังใจของเราให้สงบระงับมากที่สุด ทรงฌาน ทรงสมาบัติได้ยิ่งดี ถ้าทำไม่ได้ระดับนั้น ก็ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เรารักเราชอบมากที่สุด เอาใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระหน้าที่ของครูบาอาจารย์ท่านเอง

เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของวาระบุญวาระกรรม เปรียบเสมือนกำลังจะเปลี่ยนรถคันใหม่ ก็ต้องวิ่งขึ้นรถคันใหม่ลำบากกันหน่อย แต่ถ้าขึ้นรถคันใหม่ได้แล้ว เราก็จะเริ่มสบาย เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนผ่านในยุคนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะรุนแรง ท่านใดที่เคยอยู่ในสถานที่น้ำท่วม ต้องรีบจัดการบ้านเรือนของตนเองให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วถึงเวลาก็จะมาลำบากเดือดร้อนทีหลัง

ท่านใดที่อยู่ใกล้ชายแดนที่มีศึกมีสงคราม ถ้าสามารถโยกย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้ก็โยกย้ายไปก่อน ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องภาวนานึกขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ให้เราท่านทั้งหลายปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ถ้าวาระกรรมหนักจริง ๆ ก็ให้สูญเสียแต่ทรัพย์สิน แต่อย่าให้ชีวิตต้องสูญเสียไป คนเราถ้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่นสามารถที่จะดิ้นรนหามาในภายหลังได้

ที่มาจากเว็บไซร์วัดท่าขนุน

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9363


ตอบ
แบ่งปัน: