คิดมากสงสัยมาก ความคิดเป็นสิ่งที่เราทำให้เป็น ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทย แล้วก็วัฒนธรรมด้วย เวลาเกิด มาเป็นเบบี้ เป็นเด็กทารก เราไม่มีชาติ ชั้นวรรณะ ไม่มีเพศ ไม่มีอะไร แม่ก็บอกว่าเด็กคนนี้เป็นผู้ชาย เด็กคนนั้นไม่เคย กล่าวว่า เกิดมาแล้วเราเป็นผู้ชายนะ เราก็บอกให้ เวลาเกิดขึ้น พ่อแม่ก็บอกว่าเป็นคนไทยนะ เราก็ไม่รู้เราเป็นอะไร เราไม่

เคยคิดอย่างนี้ และวิญญาณก็ยังมีอยู่ มีรูป มีวิญญาณกำลัง ทำงานตามหน้าที่ในสัญชาตญาณที่จะทำให้ทารกมีปัญญาที่ จะรักษา รู้วิธีที่จะอยู่ได้ มีความสามารถเวลาหิวก็ร้องไห้บอก แม่ว่าหิวนะ ยังไม่มีตัวตน ยังไม่ถือว่าเป็นอะไร นี่ก็เป็น สัญชาตญาณ เป็นความสามารถของเรา สัตว์ทุกตัวก็มีความ สามารถอย่างนี้ที่จะเลี้ยงชีวิตได้ เพื่อจะทนที่จะอยู่ต่อไป สัตว์ เดรัจฉาน แมว หมาอะไร แมวก็ไม่เคยคิดว่าเป็นแมว เราก็ บอกว่านี่ตัวนี้เป็นแมว ตัวนี้เป็นหมา ตัวนี้เป็นหมู นี่เป็นปลา นี่เป็นเรื่องภาษา 

แต่ถ้าหากว่าเราพิจารณา ภาษานี้ก็มีประโยชน์ทางโลก เราก็ต้องสนทนากัน เข้าใจ เรื่องสมมุติสัจจะ เรื่องสิ่งจำเป็น ที่จะอยู่กับสังขารในครอบครัวของเรา ในสังคมของเราได้ สนใจ อย่างนี้ก็เป็นความดีด้วย 

แต่ที่จะอาศัยภาษาความคิดนึกของเรา เพื่อจะพ้นทุกข์ เป็นไปไม่ได้ ต้องปล่อย ปล่อยความคิด ไม่ใช่ทำลายความคิด รู้โทษในการยึดมั่นถือมั่นนี่เป็นเรื่องสักกายทิฏฐิ สีลพตปรามาส วิจิกิจฉา นี่เป็นสังโยชน์ ๓ ขั้นแรกที่จะเห็นทางพ้นทุกข์จริงๆ ที่จะพิสูจน์สิ่งเหล่านี้เพื่อจะเห็นทางสายกลางอย่างแท้จริง เรา ต้องปล่อยสิ่งที่เราปรุงแต่งไปตามวัฒนธรรม ตามแนวความ คิดของเรา 

ถ้าเราปล่อยโลก วางลงไป เราก็กลัวโลกจะดับไป คงจะ ไม่ค่อยดีนะ เป็นแบบว่างเปล่า สูญ ไม่มีอะไร แต่เวลาที่เรา เห็นอริยสัจที่ ๓ โดยปัญญา ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างนี้ เรา ก็จะรับรู้ในความสงบ ความสงัดทางจิตใจ รู้ด้วยปัญญาจริงๆ ร้อมตธรรม รู้ว่านี่ความเกิดและความตาย ไม่ใช่เป็นตัวตน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ได้เป็นตัวไม่ได้เป็นต้น 

ถ้าเห็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องกลัวตาย เพราะสิ่งที่ตายไป ไม่ ได้เป็นของเราแล้ว เราก็จะปล่อยให้ตามกฎธรรมชาติ ถึง วาระแล้วก็ปล่อยวางใจให้ตายโดยไม่กลัว ถ้าเรากลัว เพราะ เรายังถือว่าร่างกายนี้เป็นตัวตน ยังไม่พิจารณาเป็นธรรมะ การปล่อยวาง ความดับทุกข์เป็นอย่างนี้ เรื่องอริยสัจที่ ๓ ความดับทุกข์มีอยู่ นิโรธความดับทุกข์ 

แล้วก็ตอนที่ ๒ คือทำให้แจ้ง สังเกตดูทำให้แจ้งก็ ต้องพิจารณาจริงๆ ความดับทุกข์เป็นอย่างนี้ ร่างกายก็ลม หายใจเข้าลมหายใจออก แล้วก็ยังมีเวทนาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตใจ เวทนาก็ยังทำหน้าที่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังทำงานอยู่ แต่ สิ่งเปลี่ยนแปลงคือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นมัน

จะปล่อยให้สังขารทำตามกฎแห่งกรรมของมันเอง เราไม่ต้อง ควบคุมหรือสนใจมาก ให้เป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้ และเราไม่ได้เป็น อย่างนั้น แต่เห็นความดับทุกข์มีอยู่ ทำให้แจ้งยืนยันที่จะรู้จริงๆ ความสงสัยมันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้ารู้แจ้งก็ไม่ต้องสงสัยอะไร แล้วก็ ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้ง นี่เป็นทางพ้นทุกข์ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าเห็นมี ความหยั่งรู้ เห็นอริยสัจที่ ๓ ก็จะเห็นทางพ้นทุกข์ ทางพ้นทุกข์เป็นอะไร ไม่ได้เป็นทางเหมือนที่เรามีอยู่ ในโลก มีสติติดตัวกันอยู่เสมอ เรามีความสามารถจะรักษา จิตใจและสังขารเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราอยู่กับธรรมะเป็น ที่พึ่ง ไม่ต้องหลง ไม่ต้องตามสังขารเป็นตัวตนต่อไป ทำให้แจ้ง นี่เป็นทางปฏิบัติที่เราทำตลอดชีวิตได้ทำให้ทางสายกลางชัดเจน

เห็นแจ้งรู้จริงด้วยปัญญา อาตมาอยู่อังกฤษ เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว เราย้ายไปอยู่ วัดอมราวดี ซึ่งอยู่เหนือลอนดอน เมืองหลวงของประเทศ อังกฤษ นั่งรถสัก ๔๐ นาทีจะถึง จากลอนดอนไปถึงอมราวดี เป็นภูเขา เป็นที่สวยงามดี สมัยนั้นคนอังกฤษชาวยุโรปก็กลัว มาก ยังมีสงครามเรียกว่า cold war เรายังสงสัยจะมีสงคราม โลกครั้งที่ ๓ เกิดขึ้น เรายังกลัวรัสเซีย โซเวียตมาก และสมัยนั้น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ก็ส่งระเบิดที่มีอำนาจมาก มีพลังมาก 

เรียกว่า Cruise Missile เพื่อจะส่งไปเก็บไว้ในประเทศอังกฤษ ประเทศเยอรมันด้วย ทำให้ประชาชนในลอนดอนกลัวมาก เราก็คิดว่าจะมีสงครามโลกที่ ๓ ต่อไป จะเป็นระหว่าง สหรัฐอเมริกากับโซเวียต

แล้วอังกฤษจะเป็นสนามรบ คน เยอรมันก็กลัวเหมือนกันว่าประเทศเยอรมันจะเป็นสนามรบ เป็น Battlefield ในสงครามโลกที่ ๓ เพราะในสมัยนั้น ประธานาธิบดีอเมริกา ประธานาธิบดีเรแกน ก็เคยบอกว่า คงจะมีสงครามโลกที่ ๓ ประเทศที่จะรบกันคือประเทศอังกฤษ ทำให้คนอังกฤษโกรธเรแกนมาก แล้วก็มีคนประท้วงมากๆ ใน กรุงลอนดอน และอีกหลายเมืองในประเทศอังกฤษ 

คนที่มาหาเราที่อมราวดีสมัยนั้น ส่วนมากก็แสดง ความคิดเห็นเรื่องสถานการณ์อย่างนั้น เราเพิ่งย้ายไปอยู่ อมราวดี แต่ยังไม่ตั้งชื่อ ยังไม่เป็นอมราวดี จะตั้งชื่อเป็นอะไร ยังไม่รู้ ให้เป็นชื่อที่มีประโยชน์ เราพิจารณาในสิ่งที่ทำให้ ประชาชนสมัยนั้นเป็นทุกข์มาก

กลัวสงคราม กลัวตายมาก กลัว ต่อไปสงครามมีนิวเคลียร์ที่จะทำลายล้างประเทศของเรา ประชาชนมีความทุกข์มากที่สุด และกลัวตายมาก เราก็ตั้งชื่อ อมราวดี เพราะเราพิจารณา อมราวดีหมายความว่าที่ไม่เกิด ไม่ตายเป็นอมตะ เราอยากให้คนอังกฤษพิจารณา ถ้าเราพูด ถึงสงครามโลกที่ ๓ พูดถึงสังขาร พูดถึงอังกฤษ พูดถึง ประเทศเยอรมัน พูดถึงโซเวียต พูดถึงสหรัฐอเมริกา นี่เป็น สังขารทั้งหมด เราก็จะหลงสังขารไปเรื่อย เป็นทุกข์ สับสนวุ่นวาย 

เราไม่รู้จะทำอะไร เรารู้สึกว่าไม่มีความสามารถจะบังคับให้ สร้างสันติภาพ ทุกวันนี้เราก็ยังสงสัยอยู่ จะบังคับให้สหรัฐ อเมริกาทำให้โลกนี้มีสันติภาพต่อไป เราจะบังคับอะไร ยังอยากจะต่อสู้ทำสงครามอีก สับสนอีกมากมาย ทุกวันนี้ ประเทศอิรักก็วุ่นวายมาก 

เรามาพิจารณาอมรา มาร เรา เป็นมัจจุราช เป็น ความตาย ภาษาไทย มารเป็นมัจจุราชเป็นความตาย เป็น เรื่องสังขารทั้งนั้นเป็นเรื่องสหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องโซเวียต เรื่อง อังกฤษ เยอรมัน เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องการบ้านการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องความคิดของสัตว์มนุษย์ทุกคนทุกตัว และ พิจารณามี อมร (อะ-มะ-ระ) ภาษาบาลี แปลว่าไม่เกิดไม่ ตาย วดี แปลเป็นสถานที่ ที่ไม่เกิดไม่ตาย มันเพราะดี เวลา นั้นคนอังกฤษก็ถามก็พูดถึงอมราวดี ไม่ต้องพูดถึงสงครามโลกที่ ๓ สงสัยว่าจะมีหรือไม่มี 

อีกไม่กี่ปีนะ ย้ายมาอยู่อมราวดี เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว 4- 5 ปีหลังจากนั้น โซเวียตก็พังลงข้างในนะ มันเปลี่ยนเอง เรา ไม่ต้องมีสงคราม ไม่ได้เป็นข้าศึกแล้ว เราไม่ต้องกลัวโซเวียต แล้ว รัสเซียนะ แล้วเรแกนก็ตาย เดี๋ยวนี้สหรัฐอเมริกาก็ แสวงหาข้าศึกอีก

ถ้าเป็นประเทศมหาอำนาจก็ต้องมี Enerry ถ้าไม่มีข้าศึกก็มีมหาอำนาจทำไม ถ้ามีสันติภาพ ก็เบื่อ สงครามมันตื่นเต้น ผู้ชายเราชอบสงครามมาก มันเหมือนกับ ต่อสู้ให้มีอารมณ์ตื่นเต้น ถ้าเรานั่งเหมือนกับนั่งในห้องกรรม ฐานที่นี่ เราจะพิจารณาในนิสัยสันดานของเราได้ อยากได้ตื่น เต้น อยากให้มีอะไรที่จะทำให้มีอารมณ์ที่จะตื่นเต้น ที่จะ ขุ่นเคือง ที่จะเห็นว่าชีวิตของเราเพื่อจะต่อสู้ฆ่าสิ่งที่ไม่ดี ทำให้ ประเทศของเราเป็นมหาอำนาจต่อไปได้ สร้างอารมณ์สร้าง โลกอย่างนี้ได้ ถ้าหากว่าผู้รู้อารมณ์เป็นอารมณ์แล้ว ตื่นเต้นก็ดี เบื่อ หน่ายก็ดี ก็ให้เป็นผู้รู้ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง 

ทีนี้พูดถึงสันติภาพของโลก จะมีสันติภาพอย่างไร ความ จริงนะ ถ้าเราเห็นอมราวดีแล้ว ถ้าเรารู้อริยสัจ ๔ พิสูจน์ได้ ผลในการเห็นสัจธรรม คือความสงบ สันติภาพแล้ว เป็นไป ตามธรรมชาติ ไม่ได้อาศัยสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอื่น หรือ ตัวตนคนนี้คนนั้น เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว สันติภาพเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ 

เราอยู่กับหลวงพ่อชาที่วัดหนองป่าพง ตอนนั้นก็เรียน ภาษาไทย แต่ยังไม่รู้ บางทีหลวงพ่อแสดงธรรมก็ไม่รู้ความหมาย แต่คำศัพท์ที่ได้ยินบ่อย พูดถึง “ธรรมดา” เรานั่ง แล้วหลวง พ่อชาแสดงธรรม ก็พูดถึง ธรรมดา ธรรมดา เราก็จับคำศัพท์นี้ ธรรมดา ธรรมดาเป็นยังไง แล้วก็เรียนภาษาไทยเพื่อจะเข้าใจ การเทศน์ของท่านพอสมควรแล้ว ธรรมดา

ภาษาอังกฤษว่า or- dinary แต่ภาษาไทยก็ดีกว่า ธรรมดา คำศัพท์ก็ธรรมะ เป็น สิ่งธรรมดาธรรมชาติ ordinary สิ่งที่ไม่เป็นที่สุดโต่งแล้ว เหมือน ผู้มีสติ ไม่เป็นที่สุดแล้ว เป็นธรรมดา หลวงพ่อชาก็พูดถึง เห็น ธรรมดา 

เวลาเราอยู่เป็นพระที่นั่น ท่านก็แนะนำให้ปฏิบัติแบบ ธรรมดาตลอด ต้องรู้ชีวิตการเป็นพระภิกษุเป็นอย่างไร เพื่อ จะทำให้มันธรรมดาๆ ไม่ได้รักษาตัวเป็นพระภิกษุ พระวัดป่า พระรักษาวินัย ให้เป็นที่สุดโต่ง ให้เป็นพระภิกษุดีที่สุดดีกว่า พระอื่นอย่างนี้นะ จะทำให้สร้างอารมณ์สร้างเป็นตัวตน ให้ พิจารณาธรรมดา ให้ปล่อยวางสังขาร ให้อยู่ง่ายๆ เป็นผู้เลี้ยง ง่าย ทำหน้าที่ในการเป็นพระภิกษุสงฆ์ตามระเบียบวินัยพอ สมควร เพื่อจะอยู่ง่ายๆ ไม่สร้างความยุ่งยากในสังคม

ไม่ ถือตัวถือตนเป็นอะไร นี่ก็มีประโยชน์ เราพิจารณาไม่ให้เป็น ผู้เชี่ยวชาญ ผู้สำเร็จในการปฏิบัติ บางทีก็ “เราเป็นนักปฏิบัติ กรรมฐานเก่งๆ เคยปฏิบัติหลายปี เก่งกว่าองค์อื่น” นี่ก็สร้าง ตัวตนให้เป็นที่สุดนะ อาศัยแต่ความคิด แต่หลวงพ่อชา แนะนำให้ปฏิบัติเพื่อจะเป็นธรรมดาธรรมชาติ 

แต่ภาษาไทยก็ดี เป็นคำศัพท์ที่ลึกซึ้งมาก ธรรมดา ธรรมชาติ ถ้าเอาคำศัพท์แปลเป็นอังกฤษก็พอใช้ได้ แต่ยังสู้ ภาษาไทยไม่ได้ ธรรมดา ordinary ธรรมชาติ nature แต่ อาตมาก็ชอบคำศัพท์ธรรมะที่ใช้ในภาษาธรรมดา ภาษา ตลาดของเราในประเทศนี้ ธรรมดาในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ความ คิดความเห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงอยู่ ธรรมดาใน ปัจจุบัน สติมีความสามารถจะรับรู้สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ถ้าเราปล่อยวางแล้วพิจารณาธรรมดาในปัจจุบัน อาตมารู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นธรรมดา ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ลมหายใจเข้า ธรรมดา ลมหายใจออก ธรรมดา ไม่มี โลก ไม่มีความเจ็บปวด สมหายใจเข้าลมหายใจออกเป็นธรรมดา การนั่ง ฝน เดิน นอน อิริยาบถ ๔ ที่เป็นธรรมดาด้วย ไม่ใช่ โยคีที่จะกลับนั่งหรือทำไปมีอิริยาบถพิเศษ พระพุทธเจ้า 18 {งสิ่งที่แยกมลาแบบ นั่ง ยืน เดิน นอน 

แล้วสิ่งที่ธรรมดา อากาศในที่นี้ด้วย อากาศเป็นธรรมดา แต่เราไม่เคยสังเกต เราก็รู้มันร้อนหรือหนาว แต่อากาศเป็นที่ ช่าง เรียกว่า Ssace ภาษาอังกฤษ มองดูโลกเราแล้วอากาศ ก็เป็นธรรมดา แต่ไม่ได้เป็นที่สุด ไม่ได้แสดงตัวเป็นสีแดง สีเขียว ไม่ได้เป็นผู้หญิงผู้ชาย และก็มีอยู่ ถ้าเราพิจารณาสิ่งที่เป็นธรรมดาในปัจจุบัน เราก็มีวิธี พิจารณาปัจจุบันธรรมด้วย ฟังเสียงธรรมดาในห้องนี้ เสียง เครื่องแอร์ มีเสียงของเครื่อง

ถ้าหากว่าเราตั้งสติกับเสียง เครื่องแอร์ เราก็จะกำหนดเสียงที่มันสูงกว่าเครื่องแอร์เป็น ธรรมดาด้วย เราเรียกว่าเสียงสงัด ส่วนมากคนไม่เคยสังเกต ไม่เคยกำหนดรู้เป็นอะไร แต่เดี๋ยวนี้ถ้าโยมโยคีพิจารณาสิ่ง ธรรมดาในปัจจุบัน อยู่ที่ลับไม่ค่อยแสดงตัว แต่ถ้าเราตั้งใจ ฟังเสียงเครื่องแอร์แล้ว ก็จะมีอีกเสียงหนึ่ง เสียงสงัด คล้าย กับเสียงไฟฟ้า และมีเป็นเสียง…ไม่รู้นะ แต่เป็นธรรมดา เป็น ธรรมชาติ ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราก็จะพิจารณา ธรรมดา ธรรมชาติในปัจจุบัน เพื่อจะเห็นทางพ้นทุกข์ได้ 

ถ้าเราเห็นอย่างนี้ เราไม่ต้องสร้างตัวตนเป็นอะไร ให้เราอยู่กับธรรมดาธรรมชาติ สิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างนี้ สิ่งที่ไม่ เกิดไม่ดับไป อากาศมีทั่วไป กลับห้อง กลับบ้าน ขึ้นเครื่องบิน ไปที่ไหน อากาศก็มีอยู่ ไปที่ไหนเสียงสงัดก็มีอยู่ กำหนดรู้ เสียงสงัดแล้ว ความคิดมันก็เลิก

มันทำให้เราหยุดความคิดได้ ถ้าสังเกตเสียงสงัดอย่างนี้ ความคิดมันก็ดับไป สติจะติดต่อ กันได้ ให้เราอยู่กับสิ่งธรรมดาธรรมชาติ แต่เราไม่ปรุงแต่งให้ ถ้าจำเป็นที่จะปรุงแต่งก็ทำได้ แต่ไม่ได้ทำโดยอวิชชา เราจะ ใช้สังขารคิดที่เป็นประโยชน์ ใช้ความคิด ภาษาของเราจะ เป็นเครื่องช่วย แต่ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน นี่เป็นวิธีที่จะพิจารณาสิ่งที่มันอยู่กับเราตลอดไป ที่ เป็นธรรมดา สิ่งธรรมดาที่เราไม่สังเกตเป็นอะไร สิ่งที่สุดโต่ง เราก็รู้ (เทปชุดนี้จบเพียงเท่านี้) 

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ อริยสัจ๔ ของพระราชสุเมธาจารย์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *