อาชีพที่วัยรุ่นไทยอยากเป็นมากที่สุด คืออาชีพนักแสดง เพราะ คิดว่ารวยง่ายที่สุด สังคมยอมรับมากที่สุด หลายรายการเปิดโอกาส ให้คนแห่เข้าไปสมัครออดิชั่น (audition) มากมายราวดอกเห็ดยามฤดู ฝน เช่น Thailand Got Talent, The Voice Thailand, The Star, True Academy Fantasia และรายการเรียลลิตีโชว์ (reality show) อีกเพียบ ไม่เว้นแม้แต่การเอาสามเณรมาทำมาหากิน เช่น รายการ “สามเณร ปลูกปัญญาธรรม” ล้วนปลุกกระแสคนไทยและคนทั้งโลกให้สนใจ การแสดงมากขึ้น
คำถามที่เด็กวัยรุ่นมักจะถามเสมอก็คือ ทำไมจึงเกิดมาเตี้ย ดำ ล่ำ ถูก ทำไมไม่สวยหล่อ เลิศเลอเพอร์เฟค เหมือนคนอื่นเขา
เพราะสิ่งที่ดูจะเป็นใบเบิกทาง ในการ “เช็คอิน” เข้าไปสู่ ความพริตตี้ พิธีกร นางแบบ นายแบบ นักแสดง แดนเซอร์ หรือนัก
แสดงชนิดซุปตาร์สายฟ้าแลบ ก็คงจะเป็นเรื่องของหน้าตา รูปร่าง ทรวดทรง ไม่ว่าจะเป็นแย้ ตะกวด จึงล้วนต้องทำศัลยกรรม
ถ้าหากอยากได้ งานเบา เงินดี
ใช้ของแบรนด์เนมแพงๆ
ขับรถยนต์หรู
โชว์วงสวิงสวยๆ ในสนามกอล์ฟ
กินอาหารเลิศรสในภัตตาคาร
เพื่อชีวิตที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น ธุรกิจศัลยกรรมจึง เติบโตรายได้หมุนเวียนนับหมื่นล้านบาทต่อปี
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าชีวิตมีความสุขถาวร บางคนจึงมาเร็วไปเร็ว เคลมเร็ว เจ็บเร็วผิดปกติ ขึ้นสูงเร็วมากเท่าไร เวลาตกก็เจ็บมากเท่านั้น
เพราะแท้จริง เราท่านทั้งหลายกำลังแสดงละครชีวิตชนิดที่อื่น กับบท อย่างถึงพริกถึงขิงอยู่แล้ว ประเภทปืนเขา เผากระท่อมเลือด ท่วมจอ น้ำตาท่วมใจ และขึ้นมากเกินไปจนคิดเอาเองว่าเป็นเรื่อง จริงจัง จนหลงว่าตนเป็นพระเอก นางเอกซีรีย์เกาหลีไปเลย
แต่ละครทุกเรื่องล้วนมีตอนอวสาน
อวสานเพื่อเริ่มละครเรื่องใหม่ ซึ่งเนื้อหาไม่พ้นแบบเดิม คือรัก โลภ โกรธ หลง เปลี่ยนเฉพาะบทบาทและตัวละครเท่านั้นเอง
สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหารกรุง ราชคฤห์
ครั้งนั้น ผู้ใหญ่บ้านชื่อศาลบุตร นัยว่าท่านเป็นนักฟ้อนรำ ถ้า เป็นปัจจุบันก็คงเข้าขั้นซุป”ตาร์กับเขาคนหนึ่ง ได้เข้าเฝ้าทูลถาม พระองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินคำของพวกนักฟ้อนรำ ผู้เคยเป็นอาจารย์และอาจารย์ของอาจารย์กล่าวว่า “นักฟ้อนรำคน ใดทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรง ละคร กลางงานมหรสพ นักฟ้อนรำคนนั้นหลังจากตายแล้ว จะเข้า ถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะ” จริงเท็จประการใด พระเจ้าข้า”
แม้พระองค์จะตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง ว่า
“อย่าเลยตาลบุตร จงพักปัญหาข้อนี้ไว้อย่าถามเราเลย” ก็ยัง พยายามถามอยู่อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
“เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายไม่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ถูก เครื่องผูกคือราคะ โทสะ โมหะผูกไว้ นักฟ้อนรำย่อมรวบรวมสิ่งอัน เป็นที่ตั้งแห่งราคะ โทสะ โมหะเข้าไปกลางโรงละคร กลางงานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นโดยประมาณยิ่ง
นักฟ้อนรำนั้น ตนเองก็มัวเมาประมาท แถมทำให้ผู้อื่นมัวเมา ประมาทด้วย ทำให้ประชาชนหัวเราะรื่นเริงด้วยคำจริงบ้าง เท็จบ้าง กลางโรงละคร กลางงานมหรสพ นักฟ้อนรำคนนั้นหลังจากตายแล้ว
จะเข้าถึงความเป็นผู้อยู่ร่วมกับเหล่าเทวดาชื่อปหาสะได้อย่างไร ความเห็นของเขาเป็นมิจฉาทิฐิ และผู้เป็นมิจฉาทิฐิ เรากล่าวว่ามีคว ๑ ใน ๒ อย่าง คือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรกก็เป็นสัตว์ดิรัจฉาน
ตาลบุตร พอได้รับคำตอบดังนั้น ถึงกับน้ำตาไหลพราก 8, ความสลดสังเวช ได้ขอบวชกับพระพุทธเจ้า ต่อมาก็บรรลุเป็น พระอรหันต์
(ตาลปุตตสูตร ส.สฬ.colochlute
ถ้าจะสรุปตามพุทธพจน์ ก็คงต้องบอกว่า อาชีพนักแสดงเป็น งานชนิดหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง เหมือนกับ อาชีพอื่นๆ นั่นแล ถ้าเป็นการแสดงที่ก่อให้เกิดอกุศล คือก่อให้เกิดราคะ โทสะ
โมหะ ผลย่อมเศร้าหมอง
ถ้าเป็นการแสดงที่ก่อให้เกิดกำลังใจ ความคิดสร้างสรรค์ เป็น เหตุให้เยาวชนเอาอย่างในทางที่ดี ก็เป็นกุศล ผลย่อมผ่องใส
ละครเรื่องหนึ่งจึงสร้างได้ทั้งกุศล และอกุศล ขออย่าง เดียวอย่าหลงการแสดง ติดอยู่ในคำสรรเสริญเยินยอ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน รูปลักษณ์ภายนอกจนเกินไป จนกลายเป็น มิจฉาทิฐิ เพราะมิจฉาทิฐินั่นเอง ที่ทำให้ใจตกนรก หรือเป็น สัตว์ดิรัจฉานตั้งแต่ปัจจุบันชาติแล้ว ไม่ต้องรอชาติหน้าก็ได้
เมื่อชมละคร ท่านไม่ได้ชมแค่เพียงพระเอกหรือนางเอกเท่านั้น แต่มีทั้งตัวร้าย ตัวตลก หรือแม้แต่ตัวประกอบฉาก เดินผ่านกล้องแวบ แล้วหายไปก็มี
ถ้ามีแต่พระเอก ก็คงจะหล่อเว่อร์จนน่าเบื่อ
ถ้ามีแต่นางเอก ก็คงหวานจนเลี่ยน ถ้ามีแต่ตัวร้าย คงเครียดกันทั้งเรื่อง ถ้ามีแต่ตัวตลก ก็คงจะมีเรื่องไร้สาระ ถ้ามีแต่ตัวประกอบ ก็คงจะซีดจืด หากชีวิตเจอแต่ความสงบ ก็คงน่าเบื่อ หากชีวิตเจอแต่ความวุ่นวาย ก็คงเครียด หากชีวิตเจอแต่ความหวานแหวว ก็คงเขียน หากชีวิตมีแต่เรื่องขำ ก็คงกลายเป็นตลกร้าย หากชีวิตมีแต่ความเสียใจ คงไร้ชีวิตชีวา หากชีวิตมีแต่ความสุข คงไร้ความสนุก ชีวิตจริงๆ จึงต้องมีครบทุกรสชาติ เท่านั้น
เมื่อลงมือฝึกจิต ท่านจึงควรทำหน้าที่เป็นผู้ดูละครโรงใหญ่ นี้
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวชัง เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ
เดี๋ยวสงบ เดี่ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องให้
เดี่ยวพระเอก-นางเอก ออกมาแสดงบทรัก บทดราม่า เดี่ยวตัวร้ายออกมาอวดอำนาจบาตรใหญ่
เดี่ยวตัวตลก ก็ออกมาทําท่าบ้าๆ บอๆ แลบลิ้นปลิ้นตา เดี๋ยวตัวประกอบ ออกมาเดินผ่านความรับรู้ ดูจบแล้วก็จาก อย่ามัวร่ำไร รำพึง รำพันเพ้อฝันถึงอยู่ไม่เลิก มิเช่นนั้นก็เท่ากับท่านกำลังกระโดดขึ้นเวที ไปแสดงกับอารมณ์ เหล่านั้นแล้ว
ทุกคนเป็นตัวละครเหล่านั้นมาหลายภพหลายชาติ ทุกบทบาทลีลา บ้าสุดขั้ว รั่วสุดขีด เล่นมาหมดแล้ว เมื่อไรจะเลิกเล่นเสียที
สมชายรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง
“นี่มันที่ไหน ทำไมไม่คุ้นตาเลย” เขาพึมพำอยู่คนเดียว รอบกายมีสวนดอกไม้ที่กำลังออกดอกสะพรั่งกว้างไกล สายตา ทิวเขาซับซ้อน บรรยากาศสว่าง นุ่มนวล และเย็นสบาย
ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงทักทาย
“ยินดีต้อนรับสู่แดนกามาวดี ข้าชื่อยม มีหน้าที่ดูแลที่นี่
ชายหนุ่มรูปงาม ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าต่อตา เขาแต่งตัว ประหลาด แต่ทักทายอย่างอารมณ์ดี
สมชายดีใจที่มีเพื่อนคุย เอ่ยถามว่า
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ท่านตายจากโลกมนุษย์แล้ว กรรมที่ท่านทำได้ส่งผลให้มา เกิดที่นี่”
สมชายนิ่งอึ้ง รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงภรรยาคู่ชีวิตเขา พลันดีใจว่าได้หลุดพ้นจากเคราะห์กรรมอันชั่วร้ายแล้ว
“ข้าต้องทำอะไรบ้าง” เขาเอ่ยถาม
“ท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น หากท่านต้องการสิ่งใด จงบอกข้า
ข้าจะเนรมิตให้
แต่เขาเสวยสุขอยู่ไม่นานนัก ก็เริ่มเบื่อหน่าย
คฤหาสน์ยักษ์ รถยนต์หรู เสื้อผ้า อาหาร อะไรที่เคยฝันอยากได้ ซึ่งมากมายจนจาระไนไม่หมด ยมสามารถเนรมิตให้ได้ทันที เขาเสวย สุขอย่างตะกละตะกลาม เป็นการชดเชยกับการทำงาน อย่างหามรุ่ง หามค่ำสมัยที่คอยรับใช้ครอบครัวในเมืองมนุษย์
วันหนึ่งเขาขอร้องผมว่า
“ข้าเบื่อเหลือเกินแล้ว ท่านช่วยหางานอะไรให้ข้าทำบ้างเถิด ข้าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว”
“ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำทั้งนั้น ท่านมีเพียงหน้าที่เดียว คือเทอะไร ก็ได้ ยกเว้นท่างาน” ผมพูดเลย สมชายเริ่มมีโทสะ เขากล่าวด้วยความหงุดหงิด
“ไม่มีอะไรให้ทำ ถ้าทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ นี่มันนรกชัดๆ “ “อ้าว! ท่านคิดว่าท่านอยู่ในสวรรค์หรือไง?” ผมกล่าวอย่าง เบิกบาน
ทันใดนั้นเขาก็ตกใจตื่นขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องผวาเมื่อเหลือบไป เห็นภรรยานอนขึ้นอืดอยู่ข้างๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางบ่น พิมพา “นรกจริงๆ ”
เรื่องของสมชาย กับเรื่องของเราท่านทั้งหลายก็ไม่ต่างกัน บทละครที่แสดงผ่านมานั้นจบแล้ว อย่ามัวแต่เพ้อฝันคร่ำครวญ ถึงให้ใจทุกข์ เตรียมใจรอละครเรื่องต่อไปที่จำต้องแสดงตาม อำนาจของกรรมแต่ละคน
แต่ถ้ามีสติรู้สึกตัว จิตจะเลิกสร้างภาพสร้างภพ เลิกเล่น ละคร ซื้อโรงละครทิ้งนับตั้งแต่บัดนี้
วนเวียนเวียนวน ชีวิตสับสน บนความมัวเมา รู้ตัวรู้ตน หมดความสับสน พ้นความมัวเมา
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ธรรมะมรรคง่ายแค่ไม่ทุกข์ก็สุขเเล้ว ของท่านพระมหาวิเชียร ชินวํโส