ฝึกใจสําหรับคนไร้ศาสนา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการวิจัยในชื่อ “ภูมิทัศน์ใน การนับถือศาสนาของคนทั่วโลก” โดย “พิว” (This tow Forturn on Religion & Public Life) รวบรวมข้อมูลจากสถิติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ พบ. ว่า ประชากรโลกที่ระบุว่าตัวเองเป็นคน “ไร้ศาสนา” หรือ “ไม่ผูกพัน กับศาสนาใด” จํานวนเพิ่มมากขึ้นจนติดอันดับ 5
อันดับ 4) ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถืออยู่ทั่วโลกสูงถึง ๒.๒ พัน ร้านคน
อันดับ 6 ศาสนาอิสลาม มีอยู่ประมาณ ๑๖ พันล้านคน
อันดับ ๓ สำหรับผู้ที่ระบุว่าไร้ศาสนา หมายถึง ผู้ที่แสดง ตน ว่าไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือผู้ที่มีศรัทธาในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ ได้ขึ้นอยู่กับศาสนาใด มีจำนวน ๑.๑ พันร้านคน
คนที่นับถือศาสนาอยู่แล้ว แต่ไม่เคยประพฤติปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาเลย หรือไม่เคยศึกษาให้เข้าใจ นี่ก็น่าจะเหมารวม ได้ว่าเป็นคนไร้ศาสนาเช่นกัน
อันดับ 4 ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือ ๑,๐๐๐ ล้านคน โดย อยู่ในประเทศอินเดีย
อันดับ 4 ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือ ๕๐๐ ล้านคน
อันดับ 5 กลุ่มศาสนาเสียๆ เช่น บากาโย ลัทธิเต๋า เจนในน ซิกข์ เทนริเดียว วิคคา และโซโรอัสเตอร์ มีผู้นับถือรวมกันประมาณ * ล้านคนทั่วโลก
อันดับ 4 กลุ่มผู้ที่นับถือธรรมชาติ กราบไหว้ภูติผีและเทพอื่นๆ ตามความเชื่อของบรรพบุรุษ มีประมาณ ๕๐๕ ล้านคน
อันดับ 6 ศาสนายิว มีผู้นับถือศาสนานี้ในประเทศอิสราเอล และที่อื่นๆ ๑๔ ล้านคน
เมื่อถึง พ.ศ. นี้ แน่นอนว่าคนไร้ศาสนาคงมีมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ แปลว่าสังคมจะเลวลง เพราะคนไร้ศาสนาไม่ได้แปลว่า ไร้เมตตา ใช้ ปัญญา หรือไร้คุณธรรม คนไร้ศาสนาอาจเพราะเหตุผลมากมาย เช่น
เมื่อพิธีกรรม
๒. รู้สึกเป็นอิสระมากกว่า
ไม่มีศาสนา ทําดีได้
๔. ศาสนาทำให้คนฆ่ากันเพราะความแตกต่างของศรัทธา
สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ถ้าไม่เพราะการเมือง ก็ เพราะศาสนานั่นเอง
๕. คำสอนทางอภิปรัชญาของศาสนาต่างๆ ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ แต่ถ้าเป็นคำสอนทางด้านจริยธรรม เช่น ความอดทน ความเพียร
พ ร ะ ม ห า วั เรี ย ว ช น โ ล 66
เมตตากรุณา คนทั่วไปก็ทำกันโดยปกติอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องมี ศาสนา และอีกร้อยแปดพันเก้า
ถ้าถามผู้เขียนเอง ก็ยอมรับความเห็นที่แตกต่างทุกคนมีสิทธิที่ จะเลือกนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดก็ได้
สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รู้เลยว่าเกิดมาเพื่อนับถือศาสนาอะไร ล้วนสร้างสมมุติขึ้นมาในภายหลังว่า ฉันเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือไร้ศาสนา
บางครั้งการไร้ศาสนา อาจช่วยให้ไร้อัตตาตัวตนได้ง่ายกว่า เพราะไม่ถูกปลูกฝังให้จมอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ รูปแบบ พิธีกรรม ทางศาสนา
ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อนำเสนอวิธีฝึกใจที่เหมาะสำหรับมวล
มนุษยชาติ เพราะจะนับถือศาสนาหรือไร้ศาสนาก็ล้วนเคยทุกข์ ไม่
ทุกข์กายทุกข์ใจอย่างแน่นอน การฝึกใจ ก็เพื่อบริหารจัดการทุกข์ของตนนั่นเอง คนที่จะ สามารถฝึกใจได้นั้น ต้องมีพื้นฐานเป็นคนดีแน่นอน ตัดเรื่องของ พิธีกรรมทางศาสนาออกไปได้เลย และไม่จำเป็นว่าจะต้องมีใคร ที่ไหนมาลงโทษ หรือให้รางวัล นอกจากตัวของคุณเอง พูดง่ายๆ คือ คุณนั่นแหละที่จะลิขิตหรือออกแบบชีวิตตนเอง
ไม่ต้องกราบพระ สมาทานศีล ไม่ต้องทำพิธีมิสซา ละหมาด หรือไม่ต้องทำพิธีกรรมอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาไหนทั้งสิ้น ขอเพียงคุณ เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิของผู้อื่นยึดถือความถูกต้องก็เพียงพอแล้ว
เบื้องต้น ฝึกทำความรู้สึกตัวไปก่อน
กายเคลื่อนไหว รู้อาการของกาย ไม่ใช่รู้แขน ขา รู้หัว แต่ ให้รู้สึกทั้งตัว รู้สบายๆ ไม่ทำอะไรมากกว่ารู้ รู้สึก สังเกต ไม่สงสัย ไม่หาเหตุผล ไม่หาคำตอบ เพียงแค่รู้สึก
จิตคิด ฟัง ปรุงแต่ง รู้อาการของจิต ไม่ใช่รู้ว่าคิดเรื่องอะไร แค่ รู้สึกว่ากำลังคิด กำลังฟัง กำลังเครียด กำลังเบื่อ กำลังสุข กำลังทุกข์ ฯลฯ เฝ้าสังเกต รับรู้ ไม่สงสัย ไม่หาเหตุผล ไม่หาคำตอบเพียงแค่ รู้สึกเท่านั้น
เมื่อเผลอ หรือลืมรู้สึกตัว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดแค่เริ่ม
ต้นใหม่อีกครั้ง วันหนึ่งๆ คุณอาจเริ่มต้นใหม่สักพันครั้งก็ได้ คุณอาจรู้สึกว่าในขณะที่รู้กาย ก็รู้จิตไปพร้อมๆ กันด้วย นั่น ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเหมือนกัน
และการฝึกทำความรู้สึกตัวนี้ไม่จำเป็นต้องหาเวลาว่าง
เป็นการเฉพาะฝึกในขณะทำกิจกรรมปกติในชีวิตประจำวันนั่นแหละ
เริ่มตั้งแต่ตื่นจนหลับไป
แม้แต่ในขณะที่ดูทีวี เข้าห้องน้ำ ทานข้าวกับลูกค้า ออกกำลัง ภายในฟิตเนส วิ่ง เต้นรำ ฟังเพลง ออกงานอีเว้นต์ เดินเล่นในห้าง ชมคอนเสิร์ต ฯลฯ พูดง่ายๆ ก็คือขอแค่คุณตื่น คุณก็สามารถฝึกการ รู้สึกตัวได้แล้ว
ฝึกรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ต่อเนื่อง เมื่อเราได้ฝึกทักษะ การรู้สึกตัว จนชำนาญพอสมควรแล้ว จะเริ่มรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกตัว เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ รู้แล้วก็ดับไป รู้แล้วก็ไม่รู้ นั่นแหละถูกแล้ว
เพราะความรู้สึกตัวก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
แต่สิ่งที่จะสังเกตเห็นก็คือ จิตไม่ปรุงทุกข์เหมือนก่อน แม้จะ อ้อ หรือฟุ้งซ่านเหมือนเดิม แต่จิตจะวางการเข้าไปจัดการ กะเกณฑ์ หรือคาดหวังลงไปได้โดยง่าย หรือแม้แต่อาการเจ็บปวดทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ก็ไม่ทำให้ชิดทุกข์หรือทุรนทุรายเหมือนที่เคยๆ มา
นั่นแสดงว่า คิดหยุดสร้างมายา ยอมรับความจริงได้ว่าอาการ ทุกข์กายทุกข์ใจเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่มีกายก็ทุกข์กาย ตราบใดที่ มีจิตก็ทุกข์จิต
หากคุณต้องนั่งนิ่งๆ บนรถเมล์ รถไฟ บนเก้าอี้ในสำนักงาน
บนเครื่องบิน แทนที่จะปล่อยให้จิตคิดเรื่อยเปื่อย ก็ลองน้อมจิตมา ทําความรู้สึกตัวที่ลมหายใจ ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ จะสั้น ยาว เข้า ออก หยาบ
หรือละเอียด ก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น เพียงรับรู้ รู้สึกสังเกต เท่านั้น
เพียงแค่รับรู้ลมหายใจที่เราไม่เคยสนใจมาตลอดทั้งชีวิต นั่นแหละ อาจก่อให้เกิดความสุขมากกว่ารับประทานอาหารชั้น เพิสในภัตตาคารใด ๆ ในโลกนี้ก็ได้
๒. พัฒนาการของความรู้สึกตัว
เมื่อฝึกไปได้ระดับหนึ่ง ความรู้สึกตัวนั้นจะเฝ้าระมัดระวังอยู่ที่ กายที่ใจของคุณมากขึ้น คุณจะรู้สึกได้ถึงความทุกข์ชัดเจนมากกว่า เดิม เหมือนกำลังมองใครที่ไม่ใช่เรา แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ แม้จะ
รู้สึกถึงทุกข์ชัดเจน แต่จิตไม่เป็นทุกข์ หรือทุกข์น้อยกว่า เดิมหลายเท่า เพราะจิตรู้เท่าทันทุกข์และยอมรับความทุกข์นั้นได้โดยง่าย
สิ่งที่จะเห็นชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเปลี่ยนแปลง สืบต่อ เคลื่อนที่อยู่เสมอของกายและใจ จนเริ่มรู้สึกเหมือนรับรู้ได้ ว่ากายใจ นั้นเป็นเพียงพลังงานอะไรอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ทั้งนั้น อาจรู้ได้นานๆ ครั้ง เพียงขณะเดียว แต่อาการที่ไม่ใช่ใครที่ไหน นี่แหละ จะปรากฏบ่อยขึ้นๆๆ
ใหม่ ๆ จิตจะดิ้นรน ผลักไส ขัดขืน ไม่ยอมรับความจริง นั้น แต่เมื่อเห็น รับรู้ รู้สึกบ่อยๆ เข้า จิตจะหยุดดิ้นรนไปเอง และยอมรับ ความไม่ใช่ตัวตนมากขึ้น
9. ผลแห่งความรู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวก็คือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง เพื่อให้เข้าใจถึง กฎเกณฑ์ธรรมชาติ จนยอมรับความจริงว่า สุขหรือทุกข์ล้วนแต่เกิด เองดับเอง ไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาไหนก็ฝึกได้
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนทุกข์เพราะเข้าใจผิดว่า มีอัตตาตัวตน คือความรู้สึกว่ามีเรานั่นเอง จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ยื้อแย่ง แข่งขัน เพื่อรักษาอัตตาของตนเอาไว้
เพราะมีเรา จึงมีของเรา
เพราะมีเรา จึงมีเราที่เป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือแม้แต่ เราที่ไร้ศาสนา ฯลฯ
เพราะมีเรา จึงมีเราที่เก่ง ดีเลิศ ย่ำแย่ ท้อแท้ สุข ทุกข์ เพราะมีเรา จึงมีรถ บ้าน แฟน สามี ภรรยา เพื่อน การงาน
ของเรา
124
เพราะมีเรา จึงมีศักดิ์ศรี เกียรติยศ ชื่อเสียงของเรา
เมื่อรู้สึกตัวบ่อยเข้า ความเข้าใจผิดว่ามีอัตตาลดลง จิตจะ ปลอดโปร่ง ปล่อย วาง ว่าง เบา ได้ง่ายขึ้น
เพราะไร้เรา จึงไร้เขา
เพราะไร้เรา จึงไร้ทุกข์
เพราะไร้เรา จึงไม่มีอะไรสักอย่างให้ยึด แม้จะมีอยู่เต็มโลกก็มี อยู่ด้วยเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นเพียงสิ่งสมมุติชั่วคราวเท่านั้น และเพราะไร้เรา จึงไร้ศาสนาได้อย่างแท้จริง
ศาสนสถานแห่งหนึ่ง มีนักพรตผู้เฒ่าเป็นเจ้าสำนัก ท่านอยู่ใน เพศนักพรตมาตั้งแต่วัยเด็ก ศึกษาเล่าเรียนศาสนธรรมมามาก มีเสียง เลื่องลือว่าท่านเป็นนักพรตผู้วิเศษ จึงเป็นที่เคารพของหมู่ชน มีศาสนิก จำนวนมากมาศึกษาปฏิบัติธรรมในสำนัก
ห่างจากศาสนสถานแห่งนั้นไม่ไกล มีสำนักนางคณิกาตั้งอยู่ แต่ละวันมีชายหลากหลายวัยมาใช้บริการ แม่เล้าเจ้าสำนักแม้จะอยู่ ในวัยกลางคนแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังหลงเหลือความงามอยู่ นางดูแล เหล่านางโลมอย่างเมตตาอารี เพราะรู้ดีว่าหากเลือกได้หญิงสาวเหล่า นี้คงไม่มาขายบริการทางเพศเช่นนี้จึงแนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดีงาม
เมื่อชะเง้อคอมองข้ามรั้วของศาสนสถาน นางทอดถอนใจ อด อิจฉาศิษยานุศิษย์ของนักพรตเฒ่าไม่ได้ นางชื่นชมยินดีทุกครั้ง ที่เห็น เขาเหล่านั้นมีโอกาสได้เพิ่มพูนบุญให้แก่ตนเอง นางน้อมศีรษะแสดง ความคารวะทุกครั้ง ที่เห็นเหล่านักพรตเดินผ่านหน้าสำนัก และน้อม โสดอย่างตั้งใจทุกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงฝูงชนผู้มีบุญ ท่องบ่นสาธยาย มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ คนไร้ศาสนาเช่นเธอคงทำได้เพียงเท่านี้
หลายครั้งที่นักพรตเฒ่า ได้กล่าวถึงเหล่านางคณิกา ประกอบ คำเทศนาของท่านว่าเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย แต่ก็อดจะชำเลืองดู เหล่านางคณิกาด้วยความกระสันไม่ได้ พลางนึกเสียดายว่าท่านบวช แต่เยาว์วัย ไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสกามสุขจากหญิงเหล่านี้ ความรู้สึกเช่น นี้ เกิดแก่ท่านอยู่บ่อยๆ จนทำให้จิตของท่านทุรนทุราย
วันหนึ่งเกิดวาตภัยอย่างรุนแรง ผู้คนในละแวกนั้นเสียชีวิตเป็น จำนวนมาก รวมถึงนักพรตเฒ่า และแม่เล้านั้นด้วย แล้วทั้งคู่ ก็ได้พบ กับยมบาล ผู้มีอำนาจตัดสินอนาคต
หลังจากท่านยมบาล ตรวจสอบประวัติของทั้งคู่ในไอแพดส่วน ตัวแล้ว ท่านจึงวินิจฉัยว่า แม่เล้าควรขึ้นสวรรค์ ส่วนนักพรตเฒ่าควร ตกนรก ???
ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ธรรมะมรรคง่ายแค่ไม่ทุกข์ก็สุขเเล้ว ของท่านพระมหาวิเชียร ชินวํโส