เรตติ้ง
6.8/10

 

มารบันเทพ 

พญามาร เป็นเทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งชั้นกามาวจรหรือ เทวดาชั้นที่ 5 ชื่อว่า “ปรนิมมิตวสวัตดี” ท่านชื่อว่า “วัสสวัสดี เทวปุตตมาร” คนไทยมักเรียกว่าพญามาร ท่านเป็นมารที่หล่อขั้น เทพแน่นอน เพราะท่านเป็นทั้งเทพทั้งมาร คำว่า “มาร” แปลว่า นิมิต แห่งความขัดข้อง คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งคนไว้ มิให้พ้นจาก อ้านาจครอบงำาของตน ให้ห่วงหน้าพะวงหลังติดอยู่ในกามสุข ไม่อาจเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้ 

ซึ่งมารตนนี้เคยมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง พระองค์ได้เล่าให้ พระอานนท์ฟัง ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค สรุปว่า 

สมัยที่พระพุทธเจ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ กำลังหนีออกจาก เมืองกบิลพัสดุเพื่อบรรพชา มาเชื่อว่าวัสสวัดดีมาร ได้เข้ามาห้ามมิให้ ออกมหาภิเนษกรมณ์ แต่พระโพธิสัตว์ได้ปฏิเสธและขับไล่มารไปเสีย 

ต่อมา เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ ก่อนจะตรัสรู้ พญามารได้นำเสนามารไปรบกวน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่ทศบารมี ของพระโพธิสัตว์ 

อีกครั้งหนึ่ง สมัยที่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ณ ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่อุรุเวลาเสนานิคม 

ครั้งนั้น พญามารได้ส่งธิดา ๓ องค์ มารังควานพระพุทธเจ้า คือนางตัณหา (ความอยาก) นางราคา (ความติดอยู่ในอารมณ์อันน่า ชอบใจ) นางอรดี (ความยินดีในอารมณ์อันน่ารัก) แต่ไม่สำเร็จ จึงได้ เข้าไปหาพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับแล้วนิมนต์ให้ปรินิพพาน 

พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า 

“ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวก ของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับการแนะนำไม่แกล้วกล้า ไม่เป็น พหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอกแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ แก้ไขคำกล่าวหาของคนอื่นที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยไม่ได้ เราจักยังไม่ปรินิพพาน” 

สมัยสุดท้าย พญามาร ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ปาวาลเจดีย์ แล้วได้อ้างถึงสัญญาลูกผู้ชายกับพระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 

ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาค พรหมจรรย์ (ศาสนา) ของพระผู้มีพระภาคสมบูรณ์แล้ว กว้าง วางแพร่หลาย รู้กันโดยมากเป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ ประกาศใต้แล้ว ขอพระผู้มีพระภาค ซึ่งปรินิพพานในบัดนี้เถิด” 

พระองค์ได้ตรัสตอบว่า 

“ดูกรมารผู้มีบาป ท่านมีความขวนขวายน้อยเถิด ตถาคตจัก ปรินิพพานในไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนตั้งแต่บัดนี้ไป 

มีกล่าวไว้อีกหลายแห่ง ที่พระยามารรบกวนเหล่าพุทธบริษัท เพื่อไม่ให้บรรลุธรรม แต่ก็พ่ายแพ้ไปเสียแทบทุกครั้ง ท่านจะเชื่อหรือ ไป ก็มิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค ยังกล่าวถึงมาร 

อีก 4 อย่าง คือ 

6. กิเลสมาร กิเลสเป็นมารเพราะเป็นตัวกำจัดและขัดขวาง ความดี ทำให้สัตว์ประสบความพินาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

๒. ขันธมาร หรือกายใจเป็นมาร เพราะเป็นสภาพที่มีปัจจัย ปรุงแต่ง มีความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน ไม่มั่นคงทนนาน เป็นภาระ ในการบริหารจัดการ ทั้งเสื่อมโทรมไปเพราะความแก่ เจ็บ ตายเป็นต้น ส่วนลิดรอนโอกาสมีให้บุคคลทำกิจหน้าที่บำเพ็ญคุณความดีได้ 

๓. อภิสังขารมาร คือ บาป บุญ รูปฌานและอรูปฌานเป็น มาร เพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม นำให้เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นต้น ขัด ขวางมิให้หลุดพ้นไปจากวัฏสงสาร 

๔. มัจจุมาร ความตายเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาส ที่ 

จะก้าวหน้าต่อไปในคุณความดีทั้งหลาย ที่ยกมาเสียยืดยาวนี้ ก็เพื่อที่ จะชี้ให้เห็นในลักษณะที่เป็นธรรมาธิษฐาน หมายถึงการยกหลักธรรม หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ล้วนๆ ขึ้นมาอธิบายว่า เทพกับมารนั่นคือสิ่ง เดียวกัน 

เทพ คือ กุศลธรรม 

มาร คือ อกุศลธรรม 

เทพ คือ สุข 

มาร คือ ทุกข์ 

เทพ คือ ความยินดี 

มาร คือ ความยินร้าย 

เทพ คือ ความสำเร็จของชีวิต มาร คือ อุปสรรคของชีวิต 

เทพ คือ ความมีสุขภาพดี 

มาร คือ ความเจ็บไข้ 

จงทิ้งทั้งเทพและมาร เพราะทั้งเทพและมารล้วนก่อให้เกิดภาระแก่จิตใจ เทพและมารชนิดที่เป็นนามธรรมนี้ เปิดฉากแสดงบนเวที ของ บางครั้งก็แสนดี 

จิตแห่งสัตว์ทั้งหลายอยู่เสมอ 

บางทีแสนชั่วร้าย 

ที่แท้แล้วโบราณบัณฑิตทุกภูมิภาคในโลกนี้ ท่านเข้าใจเรื่องนี้ กันดีอยู่แล้ว บางที่ท่านจึงยกสิ่งที่เป็นบุคลาธิษฐานขึ้นมาอธิบาย 

เช่น 

พระเจ้า กับ ซาตาน 

พระอัลเลาะห์ กับ ไซตอน หยิน กับ หยาง พระราม กับ ทศกัณฑ์ เป็นต้น 

ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ (๑๐๐-๑๐๔) เป็นผลงานของท่านพระ กัสสปเถระชาวเอเชียใต้ มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๓- ๑๗๗๓ ได้รจนาว่า พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงชีวประวัติของผู้จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และกล่าวถึงพระยามารไว้ว่า 

ในอดีตชาติ พระธรรมสามีพุทธเจ้า เสวยพระชาติเป็นมหา เสนาบดีนามว่า “โพธิ” ในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า ณ กาลครั้ง พระกัสสปพุทธเจ้าทรงเสวยผลสมบัติ ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน พระเจ้ากิงกิสสมหาราชทรงทราบ ป่าวประกาศว่า ถ้าผู้ใดถวายทาน แด่พระพุทธเจ้าก่อน ผู้นั้นจะได้รับราชทัณฑ์ แล้วทรงให้ทหารอารักขา ล้อมพระเชตวันไว้ โพธิมหาเสนาบดีปรารถนาจะถวายทานแด่ พระพุทธเจ้าก่อนจึงนำผ้าและภัตตาหารมาสู่พระเชตวัน ถูกอำมาตย์ ราชบุรุษจับนำตัวไปเฝ้าพระกิงกิสสมหาราชๆ ทรงพิโรธรับสั่งให้นำตัว โพธิมหาเสนาบดีไปประหารที่ป่าช้า 

พระกัสสปพุทธเจ้าทรงทราบด้วยทิพยจักษุญาณ จึงเสด็จมา แสดงธรรมแก่โพธิมหาเสนาบดีและท่านได้ตั้งความปรารถนาถวาย ชีวิตเป็นทานแด่พระพุทธเจ้า 

พระกัสสปพุทธเจ้า ได้ตรัสพยากรณ์ว่า โพธิมหาเสนาบดี จัก ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระนามว่าพระธรรมสามี แปลว่า ผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม 

ท่านโพธิ์มหาเสนาบดีนี่เอง ที่ต่อมาได้เกิดเป็นวสวัตดีมาร แท้จริงท่านเป็นนิยตโพธิสัตว์ (ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่าง แน่นอน) องค์หนึ่งเพราะได้รับการพยากรณ์จากพระกัสสปพุทธเจ้า แล้ว 

แต่ด้วยความริษยาพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าได้ตรัสรู้ก่อน ตน จึงได้ตามรังควานรบกวนพระพุทธเจ้า 

ถ้าคิดในแง่บวกแล้วจะเห็นได้ว่า หากไม่มีพญามารพระคุณ 

ของพระพุทธเจ้าก็ไม่เด่นชัด 

ต่อมาหลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ พ.ศ. ๒๑๘ พญามาร ได้ รบกวนงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ ถูกพระอุปคุตเถระเข้าฌานสมาบัติทรมานทิฐิมานะ โดยการนำหมา เน่ามาแขวนคอและจับมัดไว้ที่เขาพระสุเมรุ ภายหลังจึงระลึกถึงความ ปรารถนาพุทธภูมิของตนได้ 

จะเป็นมารขั้นเทพ 

หรือจะเป็นเทพชั้นมาร 

ก็ยังทุกข์เพราะความริษยา อาฆาตอยู่นั่นเอง 

วิธีการที่จะทำให้พ้นจากความเป็นเทพหรือมารได้นั้น จึง มีอยู่ประการเดียว 

นั่นคือแสวงหาความเป็นพุทธะของตนให้พบ คือความสะอาด สว่าง สงบ ที่มีอยู่แล้วภายในจิตของตน 

ในอนาคต พระยาวสวัตดีเทวปุตตมาร จะพ้นจากภาวะแห่ง เทพและมาร เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อตรัสรู้เป็นพระธรรมสามีพุทธ เจ้าแล้ว ท่านย่อมพ้นจากการเกิด การตาย อย่างแน่นอน และความทุกข์ทั้งปวง 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ธรรมะมรรคง่ายแค่ไม่ทุกข์ก็สุขเเล้ว ของท่านพระมหาวิเชียร ชินวํโส

 

One thought on “เรื่องเล่านิทานธรรมะเตือนใจตอน มารบันเทพ ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *