ท่านชอบพุทธศาสนา ในเหลี่ยมไหน 

ทุกศาสนามีมูลเหตุมาจากความกลัว นับตั้งแต่ กลัวภัยธรรมชาติ จนถึงกลัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส วิธีปฏิบัติเพื่อให้รอดพ้นจากความกลัวนั้นๆ เรียกว่า “ศาสนา” เช่นมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอน เป็นต้น 

พุทธศาสนา มีมูลมาจากกลัวความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ กลัวกิเลส อันเป็นตัวทุกข์หรือเหตุให้เกิดทุกข์วิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ คือ การพิจารณาให้รู้แ เป็นจริงในสิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วยตนเองว่า “อะไร” อะไร” เมื่อเห็นจริงก็ปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง การปฏิบั ถูกนั่นเองเป็นทางดับทุกข์ การบูชา บวงสรวง อ้อน การรดน้ำมนต์ ตลอดจนการนับถือเทวดา หรือดวง มิใช่ทางดับทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา 

พุทธศาสนาดูได้หลายเหลี่ยม เช่นเดียวกับศาสน อื่นๆ ตามแต่สติปัญญาความรู้ความเข้าใจของผู้ดู คัม ของศาสนาต่างๆ หรือพระไตรปิฎกของพระพุทธศาส จึงมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกมาก ตามความเห็นของคน หลัง จนเกินขอบเขต โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา การหลงถือเอาพิธีต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เช่น พิธี วิญญาณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นว่าเป็นพุทธศาสนา บางอย่างได้ห่อหุ้มความหมายเดิมให้สาบสูญไป เช่น บวชนาค” ได้มีการทำขวัญนาค มีการฉลองกันใน วชไม่กี่วัน สึกออกมายังเหมือนเดิม การบวชสมัย 

พระพุทธเจ้า ผู้ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วปลีกตัว ออกจากเรือนไปหาพระ การบวชเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ ทางบ้านไม่มีหน้าที่ทำอะไรเลย พิธีที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นไม่ได้ ทำให้ผู้บวชดีขึ้น บางคนฝึกไปแล้วกลับเลวกว่าเก่าก็มี จึงเป็นการทำให้หมดเปลืองทรัพย์ และแรงงานไปเปล่าๆ 

เรื่อง “กฐิน” ก็เช่นกัน ความมุ่งหมายเดิมมีว่า ให้พระทุกรูปทำจีวรใช้เอง ให้พร้อมเพรียงกัน ทำด้วยมือ ” คนให้หมดความถือตัว โดยให้ลดตัวเองมาเป็นกุลีเท่ากัน หมด แต่เดี๋ยวนี้กฐินกลายเป็นเรื่องมีไว้สำหรับประกอบ พิธีหรูหราหาเงิน เอิกเกริกเฮฮาสนุกสนานพักผ่อนหย่อนใจ โดยไม่ได้รับผลสมความมุ่งหมายอันแท้จริง

ลักษณะดังกล่าวมานี้ เรียกว่าเป็น “เนื้องอก” ของ พุทธศาสนา ซึ่งมีมากมายหลายร้อยอย่าง จัดเป็นเนื้อ ร้ายชนิดหนึ่งที่งอกออกมาปิดบังเนื้อดีหรือแก่นแท้ของ พุทธศาสนาให้ค่อยๆ เลือนหายไป นิกายต่างๆ ก็เกิดขึ้น 

https://www.thenirvanalive.com/

หลายสิบ ที่กลายเป็นพุทธศาสนาอยู่ (92-96 ซึ่งเนื่องกับกามารมณ์ไปก็มี จำน ศาสนาเดิมแท้ไว้ให้ได้เสมอ ไม่ทอด้วยมือม ต่างๆ ที่เป็นเปลือกหุ้มภายนอก mich ความมุ่งหมายที่ถูกต้อง ควรถือเอาการอ ให้เป็นที่ตั้งของจิตบริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นนก เป็นอะไร” ที่ถูกต้องแล้วประพฤติปฏิบัติไป. เรียกว่าปฏิบัติถูกตามหลักพุทธศาสนา 

พุทธศาสนาตัวแท้ ก็ยังมีหลายหลาย ทำให้เกิดการจับฉวยเอาไม่ถูกความมุ่งหมายเดิม ถ้ามองดูด้วยสายตาของนักศีลธรรมกิจจา ศาสนาเป็นศาสนาแห่งศีลธรรม เพราะมีการกล่า บุญบาป ดีชั่ว ความซื่อตรง ความกตัญญูกตเวที ค สามัคคี ความเป็นผู้เปิดเผยตนเอง เหล่านี้เป็น คนส่วนมากมองเห็นพุทธศาสนาในฐานะเป็นศีลขา เท่านั้น. 

1 พุทธศาสนาชั้นสูงกล่าวถึงสัจธรรมที่ลึกซึ้งเร้นลับ ได้แก่ ความรู้เรื่องความว่างเปล่าของสิ่งทั้งปวง (สุญญตา) เรื่องความไม่เที่ยง อนิจจัง เรื่องความทุกข์ (ทุกยัง) เรื่องความ ไม่ชอบ (2) หรือเรื่องที่เปิดเผยถึง ความจริงว่า ทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างไร อันเป็นความจริงที่เด็ด ขาดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (อริยสัจ) ซึ่งทุกคนควรรู้ พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นสัจธรรมนี้ แต่ยากที่คนธรรมดา จะมองเห็น 

พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา หรือระเบียบ การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ความหลุดพ้น (วิมุตติ) ปัญญาที่รู้เห็นความหลุดพ้น (วิมุตติญาณทัสสนะ) พุทธศาสนาในส่วนนี้ หมายถึงทาง ที่เอาตัวรอดโดยตรง 

พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นจิตวิทยาชั้นสูง ดังที่NVID 

รวบรวมไว้ในคัมภีร์อภิธรรมปิฎก บรรยายถึงลักษ ของจิตไว้อย่างกว้างขวางน่าอัศจรรย์ที่สุด แยบคาย ลึกลับกว่าความรู้ทางจิตวิทยาของโลกปัจจุบัน 

พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นปรัชญาและวิทยาศาส 

คือส่วนที่เห็นแจ้งชัดได้ด้วยการพิสูจน์แต่ทดลอง กับส่วนที่เห็นแจ้งด้วยตาเนื้อหรือตาใน และที่ ทดลองได้ ความรู้เรื่องสุญญตาเป็นปรัชญาสำหรับผู้สูง ไม่บรรลุธรรม แต่เป็นวิทยาศาสตร์สำหรับผู้บรรลุข หลักพุทธศาสนาบางประเภทเป็นวิทยาศาสตร์โดยเป็ เดียว เพราะอาจพิสูจน์ให้เห็นแจ้งชัดได้ด้วยสติปัญ เช่นเรื่องอริยสัจเป็นต้น 

พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นหลักวัฒนธรรม มีคำ หลายข้อที่ตรงกับหลักวัฒนธรรมทั้งทางกายและทาง ตรงกับหลักวัฒนธรรมสากล ที่เป็นวัฒนธรรมของช พุทธโดยเฉพาะ ซึ่งดีกว่าสูงกว่าวัฒนธรรมสากลอย มากมายก็ยังมี 

โดยเหตุเหล่านี้ จึงกล่าวว่าพุทธศาสนามีหลาย เหลี่ยมมองในฐานะที่เป็นตรรกวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่โยก โคลงที่สุดก็ปรากฏว่ามีมากเหมือนกัน เช่นในคัมภีร์กถา วัตถุเป็นต้น 

เหลี่ยมที่ต้องสนใจมากที่สุด คือเหลี่ยมที่เป็น – ซึ่งหมายถึงวิธีปฏิบัติเพื่อให้รู้ความจริงว่า สิ่งทั้ง 3 ศาสนา ปวงเป็นอะไร จนถอนความยึดถือหลงใหลต่างๆ ออกมา เสียจากสิ่งทั้งปวงได้ เป็นการเข้าถึงตัวแท้ของพระพุทธ ศาสนา มีผลดีกว่าการไปสนใจในเหลี่ยมอื่น 

พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศิลปะ หมายถึงศิลปะ 

แห่งการครองชีวิต โดยสามารถใช้วิธีปฏิบัติทางพุทธ ศาสนามาชุบย้อมการกระทำตนให้เป็นที่น่าดูน่าชม น่าเลื่อมใสบูชา เป็นที่จับอกจับใจแก่คนทั้งหลาย วิธี ปฏิบัตินั้นคือ อาศัยศีลบริสุทธิ์เป็นเครื่องทำให้งดงาม ในเบื้องต้น อาศัยสมาธิทำให้งดงามในท่ามกลาง อาศัยปัญญาทำให้งดงามในเบื้องปลาย ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยควา งาม ๓ ประการนี้ ย่อมบันเทิงในทางธรรม พุทธศาส จึงมองในฐานะเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณได้รั ประการหนึ่ง ธรรมะในพุทธศาสนาเป็นอาหารใจอย่างดี วิญญา 

ซึ่งเป็นอิสระหรือบริสุทธิ์ ต้องการความบันเทิงที่เป็น 

อาหารทางธรรมะนับตั้งแต่ความยินดีปรีดาที่รู้สึก 

ตนได้ทำอะไรอย่างถูกต้องเป็นที่น่าพอใจของผู้รู้ทั้งหลา 

มีความสงบระงับในจิตใจชนิดที่กิเลสเรียกร้องไม่ได้ 

มีความเห็นแจ่มแจ้งรู้เท่าทันสิ่งทั้งปวงว่า “อะไรเป็นอะไร 

ไม่ทะเยอทะยานในสิ่งใด มีอาการเหมือนกับนิ่งลงได้ 

ต้องวิ่งไปวิ่งมาเหมือนคนทั้งหลาย ชนิดที่ท่านเปรียบ 

ว่า “กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ” กลางคืนคิดวุฒิ 

วายจะให้ได้สิ่งปรารถนา ครั้นพอรุ่งขึ้น ก็วิ่งว่อนไปตา 

ความต้องการของควันที่อัดไว้แต่เมื่อคืน นี่เป็นลักษณะ 

จิตใจมิได้รับความสงบ ไม่ได้รับอาหารทางธรรมะ แต่ 

การกระหายไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาโดยเรียก 

เมื่อพุทธศาสนามีลักษณะหลายเหลี่ยมหลายมุม “นี้ เราควรมองให้เห็นพุทธศาสนาตัวแท้ เนื่องจาก พุทธศาสนามีมูลมาจากความกลัวต่อการบีบคั้นของ ตามเกิดแก่เจ็บตาย หรือกิเลสตัวแท้ของพุทธศาสนาจึง ซึ่งเป็นการปฏิบัติด้วยกายวาจาใจชนิดที่จะทำลายกิเลส “ร่อยหรอหรือสิ้นไปในที่สุด เกิดความสว่างไสว มารถทำอะไรถูกต้องด้วยตนเอง ไม่มีความทุกข์เกิด ตั้งแต่ต้นจนอวสาน การปฏิบัติเพื่อผลอันนี้ ไม่จำเป็น เนื่องด้วยตำรา ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตองหรือสิ่ง ยนอกแต่อย่างใดเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง องอก” ของพุทธศาสนาเท่านั้น 

ที่มาจากหนังสือคู่มือมนุษย์ ของหลวงพ่อพุทธทาส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *